สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

3 มุมมองการยกระดับความสามารถทางนวัตกรรม ต้องเดินต่อทางไหนเพื่อติดอันดับ 1 ใน 30 ของโลก

20 ตุลาคม 2566 1,551

3 มุมมองการยกระดับความสามารถทางนวัตกรรม ต้องเดินต่อทางไหนเพื่อติดอันดับ 1 ใน 30 ของโลก


🚩 ข้อจำกัดมีไว้ให้ก้าวข้าม เปิด 3 มุมมองยกระดับ “อันดับนวัตกรรมของประเทศ” จากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 หน่วยงานผู้ร่วมขับเคลื่อนและเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก

การหยิบผล “ดัชนีนวัตกรรม” มาสแกนหาการเปลี่ยนแปลง เพื่อวางแนวทางการพัฒนา เป็นสิ่งที่ NIA ให้ความสำคัญ ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดอันดับภายใต้ธีมผู้นำนวัตกรรมท่ามกลางความไม่แน่นอน (Innovation in the face of uncertainty) ที่เป็นผลมาจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อนวัตกรรมในห่วงโซ่อุปทาน

แม้จะพบกับความท้าทายหลายอย่าง แต่ประเทศไทยก็ยังสามารถรักษาอันดับที่ 43 คงเดิมจากปีที่แล้วเอาไว้ได้ อีกทั้งยังพบว่าองค์ประกอบปัจจัยภายในหลายด้านเริ่มมีการพัฒนาขึ้น บ่งชี้ให้เห็นถึงสัญญาณการเตรียมพร้อมเพื่อเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่การที่จะพาประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 30 ของโลกภายในปี 2575 ได้นั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากอีกหลายหน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ชาตินวัตกรรม” ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งดำเนินการ

และภายใต้การปรับเปลี่ยนบทบาทของ NIA สู่การเป็น “Focal Conductor” หรือผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม โดยมี 3 โจทย์ท้าทายสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านทุนมนุษย์ การดึงดูดนักลงทุน และการส่งออกวัฒนธรรม เกิดเป็นการเสวนาวิเคราะห์ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกโดย 3 ผู้เชี่ยวชาญจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมทรัพย์สินทางปัญญา และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ที่มาร่วมวิเคราะห์ถึงทิศทางการพัฒนาอย่างตรงจุดว่าหลังจากนี้ ประเทศไทยควรปักธงเดินเกมเช่นไร ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายบ้าง ตามไปดูกัน! 


👨‍🎓👩‍🎓 ปัจจัยสำคัญอย่างแรกในการพัฒนาคือทุนมนุษย์ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นจากหลายประเทศชั้นนำด้านนวัตกรรมของโลก

จึงกลายมาเป็นโจทย์สำหรับประเทศไทยในการเพิ่มความเข้มข้นตั้งแต่ภาคการศึกษา ที่ไม่เพียงต้องผลิตผู้เรียนที่มีความเก่งกาจ แต่ต้องมองไปถึงการปรับหลักสูตรโดยมุ่งไปสู่ความเป็นสากลของผู้ประกอบการ ซึ่งเมื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปี จะพบว่าหลายสถาบันการเรียนการสอน เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มหลักสูตรบ่มเพาะความเป็นผู้ประกอบการขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมไปถึงทักษะต่างๆ ให้เกิดการปั้นผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมรุ่นต่อไป

นอกจากนั้นต้องต่อยอดงานวิจัยออกมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ผ่านการสนับสนุนจาก Holding Company จนสามารถเกิดเป็นกลไกในการหมุนเวียนความรู้ที่ได้ผ่านประสบการณ์จริง กลับมาเป็นบทเรียนที่มีคุณภาพ ภาครัฐจึงควรต้องเพิ่ม Sandbox ที่เปรียบเสมือนกับสนามทดลองหรือพื้นที่นำร่องการใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ เร่งการเติบโตในการลงทุนทางนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกด้วยเช่นกัน


📰  อีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนและระดับความน่าเชื่อถือด้านนวัตกรรม คือ “ระบบสิทธิบัตร”

โดยหากเปรียบเทียบจากอดีตจะเห็นว่า ระบบสิทธิบัตรในประเทศไทยมีการพัฒนาขึ้นมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น จำนวนคำขออนุสิทธิบัตรที่ยื่นโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในไทย จำนวนคำขอสิทธิบัตรผ่านระบบสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร การใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าและบริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญ จึงต้องต่อยอดสิ่งเหล่านี้ให้มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากการสื่อสารถึงความสำคัญของระบบสิทธิบัตร ซึ่งเป็นปัจจัยในการดึงดูดการลงทุน และเป็นอีกมิติหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม ส่วนในด้านระยะเวลาการดำเนินงานที่หลายคนอาจจะมองว่ายังเป็นข้อจำกัด ก็ได้มีการเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบ และใช้เทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น E-filing เพื่อส่งเอกสาร Image Search ที่ช่วยในการจับจุดความเหมือนคล้ายต่างๆ รวมถึงยังมีระบบจดสิทธิบัตรแบบมุ่งเป้าสำหรับทรัพย์สินทางปัญญาที่จะให้บริการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนผันอย่างรวดเร็วของโลกในเวลานี้


🇹🇭 การส่งออกวัฒนธรรม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศ

เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยมีข้อได้เปรียบจากต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายในแต่ละภูมิภาค ซึ่งพร้อมนำมาต่อยอดเชิงพาณิชย์และสามารถสร้างมูลเพิ่มได้อีกมาก ที่ผ่านมาเริ่มมีการผลักดันนโยบายส่งเสริมต่างๆ แต่ก็ยังมีความท้าทายในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับต้นทุนเหล่านี้ (Creative Economy Value Creation) เนื่องจากจะต้องมีการใส่ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี พร้อมกับการเปลี่ยนมุมมองให้วัฒนธรรมเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนและดูจับต้องได้ในโลกยุคปัจจุบัน 

การพัฒนาจึงต้องลงลึกและวางรากฐานที่มั่นคงทั้งระบบนิเวศ สร้างสภาพแวดล้อม หรือพื้นที่ในการทำงาน ที่สามารถดึงดูด Talent จนเกิดเป็นกลุ่มสตาร์ทอัพด้าน Soft power ที่มีอิทธิพลในระดับนานาชาติ และที่ขาดไม่ได้คือการมองหานักลงทุนที่มีความสนใจในการสนับสนุนด้านเดียวกันนี้ ซึ่งหากประเทศไทยมีครบทุกองค์ประกอบสำคัญ ก็จะนำไปสู่การแข่งขันจนเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด 

จะเห็นได้ว่าการยกระดับดัชนีนวัตกรรมไทย หรือการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ชาตินวัตกรรม ล้วนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และ NIA เองยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการเชื่อมต่อและผลักดันให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ผ่านบทบาทใหม่ในการเป็น “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม หรือ Focal Conductor” ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เข้มข้นอย่างไรบ้างนั้น รอติดตามในคอนเทนต์ต่อๆ ไปได้เลย

รับชมการเสวนาวิเคราะห์ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก ประจำปี 2566 ย้อนหลังได้ที่
https://www.facebook.com/100064357042971/videos/835238034940560 

อ้างอิงข้อมูลจาก : 
https://www.wipo.int/edocs/pubdocs/en/wipo-pub-2000-2023/th.pdf
https://www.nia.or.th/NextChapter-FocalConductor 
https://www.bangkokbiznews.com/tech/innovation/1091167 
https://www.nxpo.or.th/th/17867/ 
https://www.thaipbs.or.th/news/content/332558 
https://library.parliament.go.th/th/radioscript/rr2566-nov1 
https://www.facebook.com/100064357042971/videos/835238034940560