สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
การให้บริการของ NIA
ความเคลื่อนไหวของ NIA
ช่องทางในการติดต่อกับ NIA
ความสำเร็จจากเกษตรกรรุ่นใหม่...สู่การเป็นผู้ถ่ายทอด "นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริดสำหรับการเกษตร"
วันนี้เราจะมาขอเคล็ดลับการนำนวัตกรรมไปขยายผล จากคุณพิจิตร มังคะโชติ (พี่โจ้) ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรเชิงท่องเที่ยวตำบลแม่หอพระ และรองนายกฯสมาคมเกษตรกรรุ่นใหม่จังหวัดเชียงใหม่ ที่เริ่มต้นพัฒนา “นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริดสำหรับการเกษตร” เข้าไปพัฒนาในพื้นที่ตนเอง ณ วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ตำบลแม่หอพระ ภายใต้ชื่อผลงานนวัตกรรม “นวัตกรรมการผลิตเห็ดป่าชุมชนแม่หอพระ” ปี 2565 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จนวันนี้ ระยะเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปี พี่โจ้ทำอย่างไรให้ “นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริด” ได้ขยายผลไปอีก 5 ชุมชนที่มีความต้องการในลักษณะเดียวกัน
“เราสามารถข้ามขีดจำกัดของปัจจัยทางธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ด้วยการใช้นวัตกรรม”
คุณพิจิตร มังคะโชติ ประธานวิสาหกิจชุมชน เกษตรเชิงท่องเที่ยวตำบลแม่หอพระ
ผลงานนวัตกรรม “นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริดสำหรับการเกษตร”
จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมการจัดการน้ำของพี่โจ้นั้นเรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ “วันหนึ่งที่เราเดินเข้าสวนมะม่วงที่ปลูกไว้ แล้วเจอเห็ดตับเต่าที่ขึ้นโดยธรรมชาติ 1 ดอก ที่โคนต้นมะม่วง เราเห็นเป็นโอกาส จึงคิดจะปลูกเห็ดควบคู่ไปกับการทำสวนมะม่วง เพื่อสร้างรายได้เสริม แต่ความต้องการน้ำของมะม่วงกับเห็ดนั้นต่างกันมาก ดังนั้นจึงต้องมีการวางระบบการจัดการน้ำให้ดี พร้อมกับการปรับรูปแบบของสวน จากเดิมมีการใช้สารเคมีทางการเกษตร มาเป็นสวนแบบอินทรีย์ที่เน้นการดูแลมะม่วงด้วยวิธีการห่อมากกว่าการฉีดยาฆ่าแมลง เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาถึง มะม่วงก็ขายดี แต่เห็ดตับเต่าที่ตั้งใจจะทำเสริมกลับสร้างรายได้ดีกว่า พร้อมได้ของแถมเป็นไข่มดแดงมาอีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว” พี่โจ้เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
พี่โจ้เล่าต่อว่า “เดิมพื้นที่สวนของเราที่ ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าเข้าไม่ถึง และไม่ได้อยู่ใกล้เขตชลประทาน การจะเพาะเห็ดได้จริงก็ใช้เวลาศึกษาคลุกคลีพอสมควร” ซึ่งเราเห็นด้วยทุกประโยค เพราะในฤดูฝนเห็ดย่อมเติบโตได้ดี และเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เมื่อฤดูร้อนหรือฤดูหนาวมาถึง อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไปย่อมทำให้เห็ดไม่สามารถเติบโตเต็มที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าของโรงเรือนต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงานอย่างมากในการตรวจสอบคุณภาพของผลผลิต จึงทำให้เราอดไม่ได้ที่จะสอบถามกลับให้พี่โจ้ช่วยอธิบายถึงหลักการทำงานของระบบเพิ่มเติม
พี่โจ้ช่วยอธิบายให้เราเข้าใจตัวระบบอย่างละเอียด โดยอธิบายว่า “นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริดสำหรับการเกษตร สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการให้น้ำ ที่เกษตรกรไม่เคยจดบันทึกชัดเจนว่าต้องให้น้ำปริมาณเท่าไร พืชที่เราปลูกเหมาะกับการให้น้ำช่วงไหน และฤดูกาลส่งผลมากน้อยแค่ไหนกับปริมาณน้ำที่พืชต้องการ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าหรือห่างจากแหล่งน้ำแบบนี้ จะต้องทำอย่างไร ดังนั้น ระบบนี้จึงออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการจัดการน้ำ โดยการเชื่อมต่อเซ็นเซอร์วัดค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ เพื่อให้ระบบแจ้งเตือนเมื่อค่าความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่าค่าที่เหมาะสม และแจ้งเตือนไปยังเจ้าของสวนแบบ Real Time ผ่านโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของสวนสามารถสั่งเพิ่มความชื้นด้วยการเปิดสปริงเกอร์ หรือการพ่นละลองฝอย รวมถึงสามารถตั้งค่าการให้น้ำแบบอัตโนมัติได้ โดยระบบจ่ายไฟให้เครื่องพ่นละอองฝอยทำงานนั้น ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ ดังนั้น ระบบนี้จึงสามารถเพิ่มทั้งประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิต และให้ความสะดวกสบายแก่เกษตรกรอย่างมาก” เราฟังแล้วได้แต่ทึ่งในความสามารถของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่สามารถประยุกต์ทั้งเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้น - สปริงเกอร์ – โซลาร์เซลล์ – แบตเตอรี่ – แอปพลิเคชันแจ้งเตือน เข้าไว้ด้วยกัน และสามารถแก้ปัญหาการให้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อถามพี่โจ้ถึงการนำนวัตกรรมไปขยายผล จากเดิมเป็นผู้ประกอบการชุมชน ผันตัวไปเป็นที่ปรึกษารู้สึกอย่างไรบ้าง และได้พบปัญหาอุปสรรคหรือไม่ พี่โจ้เล่าให้เราฟังว่า “การเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นที่ปรึกษานั้นทำให้เราทำงานหนักขึ้น เนื่องจากเราต้องไปศึกษาบริบทของพื้นที่ใหม่ ชนิดของพืชตัวใหม่ ยอมรับว่าช่วงแรกเหนื่อยมาก แต่เราไม่ท้อ เราอาศัยการลงพื้นที่ชุมชนบ่อย ๆ เฉลี่ย 3-4 ครั้งต่อชุมชนที่เรานำนวัตกรรมไปขยายผล เพื่อออกแบบระบบให้เหมาะสมที่สุด ส่วนเรื่องการติดตั้งระบบไม่ได้มีปัญหาอะไร ปัจจุบัน 90% ของชุมชนที่ได้นำนวัตกรรมไปขยายผล ก็ยังใช้ระบบอย่างต่อเนื่อง จะมีบางส่วนที่ใช้เพียงบางช่วงของปี ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบการผลิตของเขา เพราะเขาไม่ได้เพาะเห็ดตลอดทั้งปี”
จนวันนี้ผลงาน นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริดสำหรับการเกษตร ได้ขยายผลไปแล้ว 5 ชุมชน และไม่ใช่เฉพาะผู้ปลูกเห็ดเท่านั้น แต่ยังมีชุมชนที่ปลูกโกโก้ด้วย สำหรับแผนในอนาคต พี่โจ้มองว่า “ระบบคือเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือความตั้งใจเรียนรู้ของผู้ใช้งาน เมื่อเป็นที่ปรึกษาจึงพยายามจะปลูกฝังแนวคิดนี้ให้เกษตรกรท่านอื่น ยกตัวอย่างเช่น ตัวเซ็นเซอร์อายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1-2 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเพียงพอที่จะให้เกษตรกรรู้ปริมาณน้ำที่ใช้ และช่วงเวลาที่แปลงเราต้องการน้ำ ในปีที่ 3 หากไม่ต้องการใช้เซ็นเซอร์ ก็ยังสามารถใช้เฉพาะระบบให้น้ำได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนได้อีก ดังนั้นแนวทางในอนาคตก็อยากจะขยายนวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริด พร้อมแนวคิดการเปิดใจยอมรับการใช้นวัตกรรม และการดูแลระยะยาว ในส่วนชุมชนตำบลแม่หอพระเอง มีการเติบโตในรูปแบบการรวมกลุ่มสมาชิกที่มีความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย จากเดิมมีสมาชิก 7 คน ปี 2568 ทางกลุ่มมีสมาชิกเพิ่มเป็น 21 คน ที่มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน คือ การเติบโตอย่างยั่งยืนของชุมชน ปัจจุบัน สมาชิกกำลังพัฒนาพื้นที่สาธารณะ ให้กลายมาเป็นเหมือนตลาดของชุมชน ที่เป็นทั้งแหล่งขายของพืชผักผลไม้ของทั้งชุมชน และเป็นศูนย์กระจายข้อมูล (Information Center) เพื่อให้ข้อมูล ร้านอาหาร ที่พักโฮมสเตย์ แหล่งท่องเที่ยวน้ำตกบัวตอง และแหล่งเครื่องจักสาน เพื่อกระจายรายได้ให้ชุมชนอย่างทั่วถึง”
วันนี้ วิสาหกิจชุมชนเกษตรเชิงท่องเที่ยวตำบลแม่หอพระ เติบโตอย่างมั่นคงด้วยผลผลิตของตนเอง ขยายไปสู่แหล่งเรียนรู้และที่ศึกษาดูงานมากมาย ส่วนตัวพี่โจ้เองก็ได้เปลี่ยนบทบาทไปเป็นที่ปรึกษาในการนำนวัตกรรมไปขยายผลต่อ และนี่คือตัวอย่างของคำว่า นวัตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพ ใช้งานได้จริง ราคาไม่แพง และเหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ โดย สนช. หวังว่าเรื่องราวของพี่โจ้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนวัตกรที่มีผลงานการนำนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้และขยายผลที่โดดเด่น จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งเกษตรกรรุ่นเก๋า และเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้หันมาใช้นวัตกรรมในการยกระดับคุณภาพผลผลิตของตนเองต่อไป
ขอขอบคุณบทสัมภาษณ์และรูปภาพจาก
ชุมชนที่ได้รับ “นวัตกรรมระบบให้น้ำแบบไฮบริด” ไปขยายผล ได้แก่
ขอขอบคุณผลงานนวัตกรรม จากหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
สัมภาษณ์และเรียบเรียงบทความโดย
พิชญาภา ศิริรัตน์ (กิ๊ฟ)
นักพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)