สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

อีฟเฮิร์บ: ลูกประคบสมุนไพรของวิสาหกิจชุมชนที่สามารถส่งออกไปทั่วเอเชีย

23 พฤศจิกายน 2568 325

อีฟเฮิร์บ: ลูกประคบสมุนไพรของวิสาหกิจชุมชนที่สามารถส่งออกไปทั่วเอเชีย

นางทิพรัตน์ ศิลาน้อย (อาจารย์อีฟ)
ผลงานนวัตกรรม “ระบบลดความชื้นแบบไฮบริดสำหรับผลิตสมุนไพรแห้ง” ของวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอีฟเฮิร์บเพื่อสุขภาพ

การมีนวัตกรรมเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต สามารถช่วยยกระดับวิสาหกิจให้สามารถส่งออกสมุนไพรไทยคุณภาพดีได้

กระแสการดูแลสุขภาพยังมาแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของธุรกิจสปา จากภาพรวมมูลค่าธุรกิจสปา มีการประเมินมูลค่าของธุรกิจสปาไว้มากกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท และคาดกว่าจะทะลุ 7 หมื่นล้านบาทภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่ตลาดนี้ยังมีพื้นที่อีกมาก ซึ่งหนึ่งในผู้ที่สามารถสร้างธุรกิจจนดังไกลไปต่างประเทศ และผลิตภัณฑ์สามารถสร้างมูลค่าส่งออกไปทั่วเอเชีย คือ วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอีฟเฮิร์บเพื่อสุขภาพ ตำบลห้วยทราย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยสมุนไพรของที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ และมีเรื่องเล่าขานว่าบริเวณนี้เป็นที่พักรบของพระนเรศวรมหาราช มีความอุดมสมบูรณ์เรื่องสมุนไพรเพื่อรักษาการบาดเจ็บของทหาร โดยเฉพาะใบพลับพลึงที่มีขนาดใหญ่สมบูรณ์ ใบเปล้า และฟ้าทะลายโจรที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ

นางทิพรัตน์ ศิลาน้อย (อาจารย์อีฟ) ประธานวิสาหกิจชุมชน ได้เล่าให้เราฟังว่า “เราเองก็ศึกษาด้านการแพทย์แผนไทย เคยเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสปามาก่อน เราจึงรู้ความต้องการของลูกค้า และเมื่อหันมามองผลิตภัณฑ์จากชุมชน เราก็เห็นว่ามีความโดดเด่นเรื่องสมุนไพร และวิสาหกิจชุมชนของเรามีการแปรรูปสมุนไพรอบแห้ง จนปัจจุบันมีความเชี่ยวชาญ สามารถทำสินค้าได้หลายชนิด ซึ่งจุดเด่นของสินค้าเราคือ ลูกประคบที่มีคุณภาพ มีสมุนไพรหลายชนิดอัดแน่น หอมนาน มัดแน่น สะดวกในการใช้งาน ประคบเองได้ เข้าไมโครเวฟได้ นอกจากนี้ยังมี สมุนไพรแช่เท้า-อบตัว แผ่นประคบสมุนไพร ยาดมยาหอมสมุนไพร ซึ่งเป็นสมุนไพรจากเครือข่ายทั้งในและนอกชุมชนทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มากกว่าร้อยคน โดยทางวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอีฟเฮิร์บ ตั้งใจเลือกวัตถุดิบที่ดีของแต่ละชุมชน นำมาพัฒนาเป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง ถึงแม้สมุนไพรบางอย่างจะต้นทุนสูง แต่เราก็ซื้อและผสมในสัดส่วนที่สูงเพื่อคุณภาพที่ดีของสินค้าเรา”

อาจารย์อีฟ เล่าให้เราฟังต่อว่า... “การโคจรมาพบกับ NIA ก็มาจากการที่เรากำลังมองหาสิ่งที่จะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเรา เรารู้ว่าการอบสมุนไพรให้แห้งสนิทเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณภาพ ไม่ขึ้นรา แต่ปกติการตากสมุนไพรของชุมชนนั้นมักตากโดยวิธีธรรมชาติ พึ่งพาแสงอาทิตย์เป็นหลัก แต่บางครั้งแดดไม่มีบ้าง โดยเฉพาะหน้าฝนที่อากาศชื้น บางทีสมุนไพรที่ชาวบ้านเอามาส่งเราก็ยังแห้งไม่พอ ดังนั้นเมื่อเราเห็นประกาศรับสมัครผู้สนใจในการนำนวัตกรรมพร้อมขยายผลไปแก้ปัญหาในพื้นที่ จากหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม ประจำพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 1 โดย วิทยาลัยพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีชุมชนแห่งเอเชีย (adiCET) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซึ่งมีนวัตกรรม “ระบบลดความชื้นแบบไฮบริดสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” ของอาจารย์พิเชษฐ์ ทานิล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ที่พร้อมนำมาขยายผล เราก็ยื่นสมัครไปด้วยความต้องการใช้งานจริงของทางกลุ่ม”

 “จุดเด่นของเครื่องลดความชื้นแบบไฮบริดสําหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เราได้มานั้น คือ ระบบอบแห้งชนิดปั๊มความร้อน ใช้เพื่อการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด และสามารถควบคุมคุณภาพได้ โดยมีช่วงอุณหภูมิอบแห้งอยู่ที่ 45-60 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ในขั้นตอนการอบแห้ง ช่วยสร้างรายได้จากการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์จากการอบแห้งได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นการอบแห้งในระบบปิด ทําให้ผลิตภัณฑ์มีความสะอาด ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อจะยื่นขอรับรองมาตรฐานการผลิตอาหาร โดยใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เป็นไปตาม มาตรฐาน อย. นอกจากนี้ ข้อดีของตู้คือ การใช้กําลังไฟฟ้า 1,000 วัตต์ น้อยกว่าเครื่องอบแห้งแบบขดลวดทั่วไป 3-4 เท่า แต่ยังให้คุณภาพด้านสีกลิ่น และโครงสร้างของผลิตภัณฑ์หลังการอบอยู่ในเกณฑ์ดี การกระจายลมร้อนภายในห้องอบแห้งมีความสม่ำเสมอ ระบบไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการใช้งาน และการบํารุงรักษา”

อาจารย์อีฟ เล่าเสริมเรื่องประโยชน์ของนวัตกรรมพร้อมใช้ว่า... “จากเดิมที่เราขายได้ดีอยู่แล้ว การได้นวัตกรรมนี้มาช่วยในการผลิต ยิ่งทำให้สินค้าภายใต้แบรนด์ของเรามีคุณภาพ ลดปัญหาเรื่องเชื้อรา โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ตอนนี้ไม่ว่าชาวบ้าน หรือโรงเรียนผู้สูงอายุ จะส่งสมุนไพรมาให้เราทุกอาทิตย์ โดยแต่ละบ้านจะส่งมาหลายชนิด บางทีก็ขมิ้น ปูเลย ใบเปล้า ถึงจะไม่เยอะมาก แต่เราก็รับซื้อไว้หมด เพราะเรามีตลาด และเรารู้ว่าเรามีตู้อบลดความชื้นนี้ ซึ่งจะช่วยเราลดระยะเวลาในการตากแห้ง จนปัจจุบัน หลังจากชาวบ้านส่งสมุนไพรมา เราต้องเอาเข้าตู้อบอย่างน้อย 1 รอบเสมอ เป็นขั้นตอนมาตรฐานที่เพิ่มเข้ามา เพื่อให้คุณภาพสมุนไพรของเราดีขึ้น หนึ่งวันเราใช้ตู้อบสมุนไพรมากกว่า 100 กิโลกรัม การมีตู้นี้ช่วยลดระยะเวลาการอบได้เยอะมาก จากปกติที่ต้องตากแดด 3-4 วัน เหลือแค่ 1 วัน และทำให้เรามีความมั่นใจในคุณภาพจนสามารถเป็นเกรดสินค้าส่งออก”
 
เมื่อเราถามว่า ตอนอาจารย์สมัครโครงการ อาจารย์ไม่มีความกังวลเรื่องเอกสารข้อเสนอโครงการเลยหรือ อาจารย์อีฟกล่าวว่า “เรื่องเอกสารโครงการ เราไม่ห่วงเท่าไร เพราะมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เขาให้ความช่วยเหลือเราดีมาก เราต้องยอมรับว่าการที่มีที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยเข้ามาแบบนี้ทำให้ชาวบ้านแบบเราสบายใจขึ้นเยอะ เพราะบางทีเราเขียนคำพูดเราไป เราก็ไม่รู้ว่าถ้าตามหลักวิชาการแล้ว เขียนแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องขอขอบคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย ณรัฐ จันทร์ศรี และอาจารย์ที่ปรึกษา พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ในโครงการทุกท่านที่ให้คำปรึกษา และช่วยเหลือเรื่องเอกสารอย่างดี โดยหากชุมชนอื่นยังลังเลที่จะสมัคร ก็อยากเป็นกำลังใจให้ เพราะโครงการหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคมประจำภูมิภาค (SID) ของ NIA นั้น เขาออกแบบมาเพื่อช่วยชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่จริง ๆ”
 
 
“นอกจากนี้ สิ่งที่อยากฝากถึงชุมชนอื่น ๆ คือ การเปิดใจที่จะเรียนรู้ ว่ามีหน่วยงานไหนใกล้เรา พอจะช่วยอะไรเราได้บ้าง และมองหานวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะสามารถเข้ามาช่วยเหลือในสิ่งที่ชุมชนเราทำอยู่ เราควรจะมองหาสิ่งที่จะเข้ามาช่วยเราลดระยะเวลา หรือลดต้นทุน อะไรที่เราทำได้ในช่วงนี้ถึงแม้ยังไม่มี order สั่งซื้อมา อีกทั้งเรื่องมาตรฐานของสินค้า และเครื่องไม้เครื่องมือ คือสิ่งที่ควรลงทุน เพราะเมื่อลูกค้าเรามาเห็นว่า เรามีการผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานและคุณภาพ ลูกค้าจะเชื่อถือและพร้อมลองสั่งสินค้ากับเรา พอสินค้าเราดี เมื่อได้ลองใช้ลูกค้าก็จะบอกต่อ บางชุมชนกังวลเวลาต้องเข้าไปคุยกับหน่วยงาน แต่อยากให้กำลังใจ และลองไปเข้าร่วมกิจกรรม หรืองานสัมมนา หากเราเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาก่อน ไปบอกปัญหาที่เราเจอกับหน่วยงานต่าง ๆ  ซึ่งจากประสบการณ์ของเรา ... อาจารย์มหาวิทยาลัยพร้อมช่วยเหลือเราเยอะมาก บางทีเราต้องนำเสนอข้อดีของชุมชนเรา เปิดรับความร่วมมือกับอาจารย์ นักวิจัย เช่นที่วิสาหกิจชุมชนอีฟเฮิร์บของเรา ก็มีความร่วมมือกับอาจารย์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในการเข้ามาช่วยประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร หลังจากนั้นอาจารย์ก็แวะเวียนมาแนะนำกระบวนการจัดเก็บ การพัฒนากระบวนการปลูกสมุนไพร ทั้งนี้เกษตรอำเภอก็เป็นอีกหนึ่งท่านที่เข้าถึงง่าย และมีการชวนไปอบรมเสริมความรู้ต่าง ๆ อยู่เสมอ” 
 
 
อาจารย์อีฟฝากทิ้งท้ายว่า “สินค้าเรามีความชัดเจน เข้าใจง่าย กลุ่มลูกค้าคือ โรงแรม สปา ร้านนวด แต่ถึงแม้ว่าเราส่งออกได้แล้ว เราก็ไม่ได้หยุดพัฒนา เรายังหาตลาดใหม่เรื่อย ๆ โดยตลาดต่อไปที่อยากไป คือตลาดตะวันออกกลาง โดยเป้าหมายที่อยากพัฒนาสินค้าต่อ คือ มองหานวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยประหยัดเวลาในการมัดลูกประคบ หรือช่วยผ่อนแรงคนในการปั้นและมัดลูกประคบ เพราะสินค้าเรา Handmade มาก ตอนนี้ผู้สูงอายุก็เริ่มปวดแขน ดังนั้นใครที่มีนวัตกรรมประเภทนี้ สามารถติดต่อเรามาได้เลยนะคะ หรือผู้สนใจนำผลิตภัณฑ์เราไปใช้งานก็สามารถติดต่อมาได้ทุกช่องทาง คุณภาพเกินราคาแน่นอนค่ะ และหากวิสาหกิจชุมชนไหนอยากเชิญอาจารย์อีฟไปให้ความรู้ หรือต้องการมาศึกษาดูงาน วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอีฟเฮิร์บเพื่อสุขภาพ ก็พร้อมต้อนรับทุกท่านเสมอค่ะ”
 
 
ขอขอบคุณบทสัมภาษณ์และรูปภาพจาก
  • นางทิพรัตน์ ศิลาน้อย ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอีฟเฮิร์บเพื่อสุขภาพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
 
ที่อยู่: ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรอีฟเฮิร์บเพื่อสุขภาพ เลขที่ 15 หมู่ 5 ตำบลห้วยทราย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

ขอขอบคุณที่ปรึกษาโครงการ:
  • อาจารย์พิเชษฐ์ ทานิล
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย ณรัฐ จันทร์ศร
  • อาจารย์วชิราภรณ์ ภัทโรวาสน์
  • ผศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ นวานุช
ขอขอบคุณผลงานนวัตกรรม
  • จากหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ผู้สัมภาษณ์และผู้เรียบเรียง
  • นางสาวพิชญาภา  ศิริรัตน์
    นักพัฒนานวัตกรรม
    ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่ NIA
 

Tags : # NIA