สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

NIA ร่วมกับ InvestHK จัดงาน Rode to HongKong FinTech Week x Startmeup 2025 เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก่อนออกสู่ตลาดฮ่องกง

News 6 พฤศจิกายน 2568 11

NIA ร่วมกับ InvestHK จัดงาน Rode to HongKong FinTech Week x Startmeup 2025 เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก่อนออกสู่ตลาดฮ่องกง

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงาน “Road to Hong Kong Fintech Week x StartmeupHK Festival 2025” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ณ House of Wisdom, So/Bangkok เพื่อเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการเข้าร่วมออกบูธในงาน Hong Kong Fintech Week x StartmeupHK Festival 2025 ระหว่างวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2568 โดยมี ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธาน กล่าวเปิดงาน
 
ก่อนเริ่มงานได้มีการยืนสงบนิ่งถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย เป็นเวลา 1 นาที เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
 
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า งาน “Road to Hong Kong Fintech Week x StartmeupHK Festival 2025” NIA ร่วมกับ InvestHK จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก่อนออกสู่ตลาดฮ่องกง ซึ่ง NIA มีกลไกการสนับสนุนผู้ประกอบการตามแนวคิด 4G ได้แก่ Groom, Grant, Growth และ Global การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นประตูสู่ Growth และ Global ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้แก่สตาร์ตอัปไทยได้โชว์ศักยภาพและสร้างเครือข่ายกับระบบนิเวศสตาร์ตอัปในฮ่องกง ซึ่งฮ่องกงมี Ecosystem ที่แข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี และ NIA จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผู้ประกอบการไทยเชื่อมโยงกับทั้งนักลงทุนและพันธมิตรท้องถิ่นในฮ่องกง เพื่อสร้างโอกาสและสร้างเครือข่ายให้แก่สตาร์ตอัปไทย
 
ต่อด้วย คุณพนากร เดชธำรงวัฒน์ Head of Investment Promotion, InvestHK ได้ร่วมแชร์ข้อมูลเชิงลึกของตลาดฮ่องกงว่า ทำไมฮ่องกงถึงให้ความสำคัญกับการดึงดูดสตาร์ตอัปไทยและต่างชาติให้มาเป็นฐานในการขยายสู่ตลาดโลก ซึ่ง InvestHK เป็นหน่วยงานของรัฐบาล ที่มีภารกิจในการสร้างระบบนิเวศสาตร์ตอัป และพาสตาร์ตอัปไทยเติบโตและขยายตลาดในฮ่องกง โดยชี้ให้เห็นว่าจุดแข็งของประเทศไทยคือการมีต้นทุนที่ดี มีกำลังการผลิต ทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศสตาร์ตอัปที่แข็งแกร่ง ส่วนจุดแข็งของฮ่องกงคือ การมีเครือข่ายระดับนานาชาติ ฐานลูกค้า B2B และตัวช่วยทางการเงินที่เติบโตเต็มที่ โดยสามารถสรุป 3 ปัจจัยหลักที่สตาร์ตอัปควรขยายตลาดในฮ่องกง คือ 1. Free flow of capital 2. Free market regime 3. Fair treatment นอกจากนี้ ยังมี Funding Landscape ที่มีบริษัทนานาชาติกว่า 9,000 แห่งที่พร้อมเป็นลูกค้า และมีนักลงทุนมากกว่า 5,000 ราย และมีเงินทุนสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาลผ่าน Cyberport และ Hong Kong Science Park ให้ทั้งสตาร์ตอัปไทยและต่างชาติ
 
คุณนิธิ วชิรโกวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการด้านการเงินและบริหารสภาพคล่อง ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ได้ร่วมแชร์มุมมองจากฝั่งธนาคารระดับโลก เผยผลสำรวจว่าปัจจุบันมี 3 สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุด คือ Operational Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน Adoption of new technologies การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ และ Expansion การขยายไปยังตลาดใหม่ ประเทศไทยมีระบบการเงินที่พัฒนาไปได้เร็วมาก โดยเฉพาะการใช้ Real-time Payment เช่น Promtpay เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่แทบจะไม่พกเงินสดและหันมาใช้ Digital Payment กันหมดแล้ว คุณนิธิ ชี้ให้เห็นถึง 3 เทคโนโลยีสำคัญที่กำลังมาแรงและจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในวงการทางการเงิน ได้แก่ 1. Cross-border connectivity หรือโซลูชันที่ช่วยให้การทำธุรกรรมและการค้าขายข้ามพรมแดนเป็นเรื่องง่ายและไร้รอยต่อมากขึ้น 2. Financial Inclusion การทำให้บริการทางการเงินเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการของธนาคารแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งบริการอย่าง "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" (Buy Now Pay Later - BNPL) ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ และ 3. AI และ OCR ที่จะเข้ามาช่วยจัดการงานที่ต้องทำซ้ำๆ และใช้เวลานาน เช่น การกระทบยอดข้อมูลจากใบแจ้งหนี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายและอัตโนมัติ ทั้งยังให้คำแนะนำถึง FinTech ที่ต้องการร่วมงานกับธนาคารอีกด้วย
 
ปิดท้ายด้วยการเจาะลึกตลาดประเทศจีนจาก Mr. David Chen JD.com ซึ่งได้แชร์ข้อมูลเชิงลึกของตลาดจีน โดยเริ่มจากภาพรวมตลาด E-Commerce ของจีนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจาก AI, AR/VR และระบบ Supply Chain ที่พัฒนาขึ้นสำหรับเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง คือ 1. Instant Retail การจัดส่งด่วนภายใน 1 ชั่วโมง 2. Live Streaming / Content Commerce 3. Cross-border B2C การค้าข้ามพรมแดน Mr. David เน้นย้ำว่า การส่งออกไปจีนมี 2 แบบ คือการนำเข้าทั่วไป ซึ่งมีกระบวนการที่ยุ่งยาก เพราะต้องขอใบรับรอง ลงทะเบียน เสียภาษีเต็มอัตรา และจะต้องมีเครื่องหมายการค้าในจีน เทียบกับ Cross-border B2C ซึ่งเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุด เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านใบรับรอง รัฐบาลจีนมีส่วนลดภาษีให้ 70% และไม่ต้องจดเครื่องหมายการค้าในจีน โดยสามารถใช้เครื่องหมายการค้าเดิมของไทยได้ นอกจากนี้ JD ยังมีคลังสินค้า 4 แห่งที่สนับสนุนสินค้าจาก SEA เพื่อรองรับโมเดล Cross-border นี้ ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินห์ ฮ่องกง และกรุงเทพมหานคร ซึ่งช่วยให้แบรนด์ไทยส่งสินค้าไปจีนได้ทันที ทั้งยังได้ทิ้งท้ายด้วยข่าวดีสำหรับ SME ไทยว่า "ผมเพิ่งกลับมาจากการประชุมกับกระทรวงพาณิชย์ของไทย และเรากำลังหาทางช่วย SME ไทยไปจีนและจะเปิดโปรเจกต์ Country Store หรือร้านค้าประจำประเทศ เพื่อช่วย SME ที่ไม่รู้วิธีการ ไม่รู้กระบวนการหรือไม่มีความสามารถในการเปิดและดำเนินการร้านค้าออนไลน์ด้วยตัวเอง”
 
และในวันที่ 3- 7 พฤศจิกายน 2568 NIA ได้พาสตาร์ตอัปไทยเข้าร่วมออกบูธโชว์ผลงานนวัตกรรมภายในงาน Hong Kong Fintech Week x StartmeupHK Festival 2025 ณ ฮ่องกง โดยมีสตาร์ตอัปเข้าร่วมทั้ง 7 ราย ได้แก่ AIYA.AI, Gradience AI, AltoTech Global, ChillPay, Aappoint, PAM และ Pettinee บรรยากาศภายในงานระหว่างออกบูธ สตาร์ตอัปทั้ง 7 รายไม่เพียงแต่ได้รับความสนใจจากพันธมิตรและนักลงทุนในฮ่องกงแต่ยังได้เข้าร่วมพบปะพันธมิตรในฮ่องกงเพื่อหาโอกาสและความร่วมมือในการขยายตลาดในอนาคตอีกด้วย