สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

นวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร สำหรับเกษตรกรยุคใหม่

11 มิถุนายน 2568 555

นวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร สำหรับเกษตรกรยุคใหม่

นวัตกรรมการบริหารจัดการนํ้าเพื่อการเกษตร

ในอดีต อาชีพเกษตรกรถูกมองว่าเป็นงานที่หนัก รายได้น้อย และไม่มั่นคง แต่ในยุคปัจจุบัน “เกษตรกรยุคใหม่” ได้เข้ามาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอาชีพนี้อย่างสิ้นเชิง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวคิดเชิงธุรกิจ ทำให้การเกษตรไม่ใช่แค่การผลิตวัตถุดิบต้นน้ำ แต่กลายเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน อีกทั้ง การเกษตรยุคใหม่ไม่ใช่แค่วิธีการผลิต แต่คือ “แนวคิด” ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตและอนาคตของเกษตรกร โดยเฉพาะในยุคที่โลกต้องการความยั่งยืนและอาหารปลอดภัย การส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การสืบสานอาชีพที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม แต่เป็นการลงทุนที่น่าสนใจในอนาคตของประเทศอีกด้วย

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานคนหนุ่มสาวที่มีแนวโน้มย้ายออกจากชนบทไปทำงานในเมือง ส่งผลให้แรงงานในภาคการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขาดแคลนแรงงานเหล่านี้เป็นแรงผลักสำคัญ ที่ทำให้เกษตรกรยุคใหม่ต้องหาทางออก ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาแทนที่แรงงานคน เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรักษาการผลิตให้ยั่งยืน เช่น โดรนพ่นปุ๋ย เครื่องปลูกและเก็บเกี่ยวอัตโนมัติ ระบบน้ำหยดอัจฉริยะ และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับการเกษตร เป็นต้น

 

ในบทความนี้ จะให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำเป็นอันดับแรก เนื่องจาก “น้ำ” คือหัวใจของการเกษตร แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และการใช้น้ำอย่างไม่รู้คุณค่า ทำให้เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการเพาะปลูก ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ ที่ทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรเองต้องร่วมมือกัน โดยมี “นวัตกรรม” เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อน

 

NIA ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อสังคม ได้ดำเนินการสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยมีตัวอย่างโครงการนวัตกรรม ดังนี้

 

โครงการ Neo-Solar: ระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรแปลงรวมสหกรณ์นิคมแคนดง

โครงการนี้ใช้ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมออกแบบ Inverter ชนิด Maximum Speed Point Tracking ทำให้สามารถสูบน้ำในสภาพแสงน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้มอเตอร์กระแสสลับ (AC) แบบมี reliability สูง และ on-top inverter ช่วยประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง รวมไปถึงการนำระบบ IoT มาใช้ในระบบปั๊มน้ำและการจัดส่งน้ำไปยังพื้นที่การเกษตรต่าง ๆ ของชุมชน ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ทโฟน สามารถรายงานประสิทธิภาพในการใช้น้ำต่อครัวเรือน/ชุมชน เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และสะดวกต่อการใช้งาน โดยระบบปั๊มน้ำและระบบจัดส่งน้ำครอบคลุมพื้นที่เกษตรแปลงรวม (ปลูกพืชข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา) จำนวน 20 ไร่ ในพื้นที่บ้านหนองการะโก หมู่ 7 ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีจำนวนเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายเข้าร่วมโครงการ 15 ครัวเรือน หรือ 150 คน ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้

ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมออกแบบ Inverter ชนิด Maximum Speed Point Tracking

 

โครงการ ระบบบริหารจัดการน้ำในพื้นที่แปลงเกษตรด้วย IoT สำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่น้อย

อีกหนึ่งตัวอย่างของการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จำกัด คือ การออกแบบระบบบริหารจัดการน้ำ ที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษบ้านโคกตะคร้อ ตำบลชุมแสง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงจำนวน 10 แห่ง เช่น วิสาหกิจชุมชนเกษตรเลี้ยงหมูอิสระ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพืชเสริมรายได้ และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นต้น เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำรองรับภัยแล้งสำหรับพื้นที่เกษตรผสมผสานแปลงใหญ่บนโมเดลการทำเกษตรแบบผสมผสาน จำนวน 3 แปลงต่อชุมชน โดยการสูบน้ำขึ้นเก็บบนแทงค์สูง และจ่ายน้ำลงสู่โอ่งในแต่ละจุดของเกษตรกร เข้าสู่พื้นที่แปลงเกษตรทั้งหมด 3 แปลง โดยแปลงที่ 1 เป็นเกษตรแบบประณีตจะกระจายน้ำโดยใช้ระบบน้ำหยด สามารถเลือกการจ่ายน้ำด้วยระบบ Manual หรือใช้การควบคุมการจ่ายน้ำแบบอัตโนมัติตามเวลา ซึ่งสามารถตั้งเวลารดน้ำได้และมีเซนเซอร์ตรวจจับความชื้น สามารถสั่งตัดน้ำเมื่อความชื้นเพียงพอ สำหรับแปลงที่ 2 เป็นบ่อปลาดุก จะกระจายน้ำโดยต่อท่อปล่อยน้ำเข้าบ่อ และแปลงที่ 3 เป็นโรงเพาะเห็ด จะกระจายน้ำโดยใช้ระบบพ่นหมอก มีระบบตรวจเช็คอุณหภูมิและความชื้นภายในโรงเรือน รวมถึงใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน มีพัดลมระบายอากาศและระบบเปิดปิดน้ำภายในโรงเรือนอัตโนมัติ ทั้งนี้ วิสาหกิจชุมชนฯ จะได้รับประโยชน์จากระบบบริหารจัดการน้ำด้วย IoT สำหรับเกษตรกรพื้นที่น้อย เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาความยากจน สำหรับเกษตรกรพื้นที่น้อย โดยสามารถสร้างรายได้ ผลผลิตเห็ดทั้งหมด 723 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 60 บาท รวม 43,380 บาท ซึ่งมีต้นทุนการผลิต 14,460 บาท เหลือเป็นกำไร 28,920 บาท นอกจากนี้ยังมีรายได้จากผลผลิตในแปลงเกษตร รวม 34,440 บาท รวมทั้งสิ้น 77,820 บาท มีกำไร 63,360 บาท ทั้งนี้ จะมีจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปีเป็นต้นไป เนื่องจากผลที่ปลูกโดยรอบเริ่มให้ผลผลิต และสามารถนำเชื้อเห็ดที่ไม่ได้ใช้แล้วมาผสมดินปลูกขาย จึงนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาแปรรูป เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มมากยิ่งขึ้น

เกษตรผสมผสานแปลงใหญ่ บนโมเดลการทำเกษตรแบบผสมผสาน จำนวน 3 แปลงต่อชุมชน (ซ้าย) ระบบรดน้ำอัตโนมัติ (IoT) ที่ใช้ในแปลงเกษตรขนาด 3×3 ตารางเมตร (ขวา)

 

โครงการ FarmConnect: ระบบบริหารจัดการน้ำแบบเกษตรแม่นยำสำหรับผักเศรษฐกิจ

สำหรับตัวอย่างในพื้นที่สุดท้ายที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกผักอินทรีย์บ้านโพนโพธิ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยระบบการบริหารจัดการน้ำและปุ๋ยอย่างแม่นยำโดยใช้เทคโนโลยี Smart Controller 2 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกผักอินทรีย์บ้านโพนโพธิ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด (ภาพที่ 6) และ จุดที่ 2 วิสาหกิจชุมชนเลี้ยงโค บ้านสวนปอ ม.12 ตำบลหนองแคน อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด (ภาพที่ 7) โดยจัดการแปลงเกษตรแบบผสมผสานที่สามารถจัดการแปลงเกษตร ได้อย่างแม่นยำด้วยการให้ปุ๋ยผ่านระบบปั๊มและศูนย์ควบคุมส่วนกลางอยู่บริเวณขอบบ่อ (ภาพที่ 8) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มปริมาณผลผลิต และลดระยะเวลาการทำงาน อีกทั้ง ยังสามารถใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในแปลงติดตามสถานะความชื้นดินและสภาพอากาศ โดยข้อมูลดังกล่าวสามารถนำมาวิเคราะห์แนวทางการปรับเปลี่ยนการให้น้ำของเกษตรกรได้อย่างแม่นยำ ทันต่อเหตุการณ์ความแปรปรวนของสภาพอากาศ โดยปัจจุบันพบว่าขาดระบบการจัดการแบบองค์รวมสำหรับการจัดการแปลงเกษตรแบบผสมผสาน ได้แก่ แปลงปลูกมะเขือเทศ แปลงปลูกสลัด แปลงไผ่ มะม่วงเบา และแปลงข้าวโพดท้ายสวน ที่จะสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างเป็นระบบ

ระบบจัดการแปลงเกษตรด้วยการให้ปุ๋ยผ่านระบบปั๊มและศูนย์ควบคุมส่วนกลาง

จากการดำเนินงานดังกล่าว การนำนวัตกรรมมาบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรในปัจจุบัน คือคำตอบที่ทำให้เกษตรกรสามารถใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่นับวันจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาการบริหารจัดการน้ำในภาคการเกษตรของประเทศไทยให้มีความมั่นคงและเกิดความยั่งยืนต่อไป

 

บทความโดย
ชนกพร คำพระ (น้ำ)
นักพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)