🍽️ Michelin Guide 2025 ประกาศแล้ว! ร้านเด็ดของไทยในปีนี้ได้ขยายพรมแดนไปยังพื้นที่ในหลายจังหวัด ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพและความหลากหลายของอาหารที่มีเอกลักษณ์ พ่วงกับรสชาติอันอร่อยเหาะไม่แพ้ใคร

🤤 แต่ถึงอย่างนั้น รสชาติความอร่อยกลับไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป เพราะขณะนี้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจต่อคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ดังนั้น ‘FoodTech’ จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม โดยมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2027 มูลค่าการลงทุนสำหรับ FoodTech ทั่วโลกจะพุ่งไปถึง 342.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้พัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด

เช่นเดียวกับผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพไทยหลายรายเริ่มมีการต่อยอดนวัตกรรมเข้าไปเพิ่มศักยภาพผ่านกระบวนการต่างๆ  โดยในปี 2023 ประเทศไทยถือว่าเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 1,255,622.69 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12.80% ของการส่งออกทุกสินค้า โดยตลาดหลักจะอยู่ที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น

🌎 ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมอาหารไทยเติบโตขึ้นมา เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก การเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงทางอาหาร ที่ก่อให้เกิดความต้องการอาหารมากขึ้น สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญต่อไปคือการเปิดโอกาสในการขยายตลาด เพื่อให้ธุรกิจไทยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนในระดับ Global ซึ่งจะทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน

🤝🏻 แต่จะเห็นว่า การทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา NIA ในฐานะ Focal Conductor จึงมีการเชื่อมโยงให้เกิดการส่งเสริมธุรกิจด้านเทคโนโลยีอาหาร ผ่าน “โครงการ SPACE–F” ที่เป็นกลไกสำคัญในการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมอาหาร ด้วยการพัฒนาทักษะความรู้ ที่แต่ละภาคส่วนได้เข้ามาช่วยกันผลักดันสตาร์ทอัพ FoodTech ตลอดระยะเวลา 5 ปี 

💡สำหรับ NIA ที่มีการทำงานภายใต้ แนวคิด ‘Groom – Grant – Growth – Global’ ได้มีการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งการให้ทุนและการพัฒนาองค์ความรู้ ซึ่งภายหลังได้มีการมุ่งเน้นไปที่การขยายโอกาสไปสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น ที่ภาคธุรกิจจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด ตามทันความต้องการของผู้บริโภคที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

💰 นอกจากนั้น หน่วยงานอื่นๆ มีมุมมองในการสนับสนุนธุรกิจอาหารที่น่าสนใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การเห็นความสำคัญว่า อุตสาหกรรมนี้จะมีบทบาทอย่างมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการบ่มเพาะผู้ประกอบการ และสตาร์ทอัพให้มีศักยภาพในการแข่งขัน ตามเป้าหมาย “Thailand Future Food Initiative” ที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต

♻️ และยังมีมุมมองที่อุตสาหกรรมอาหาร จะเติบโตและถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ดูได้จากการที่มีความต้องการพัฒนาอาหารแห่งอนาคตหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาโปรตีนทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การลดขยะอาหาร หรือการใช้นวัตกรรมเข้ามาทำให้อาหารมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น

🥙 โดยไม่ว่าจะเป็นมุมมองจากหน่วยงานไหน ก็จะเห็นว่าแต่ละส่วนต่างต้องการยกระดับให้ FoodTech ของประเทศไทย มีการพัฒนา จึงเกิดเป็นความร่วมมือผ่านโครงการ SPACE-F มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านพ้นไปล่าสุดคือรุ่นที่ 5 ซึ่งความสำเร็จตลอดตั้งแต่ที่เริ่มดำเนินโครงการ สามารถปั้นสตาร์ทอัพด้านอาหารไปได้กว่า 80 ราย จาก 18 ประเทศ และสร้างมูลค่าการลงทุนไปได้กว่า 2,000 ล้านบาท

👍🏻 เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จของโครงการนี้ จึงมีการเปิดรับสมัครผู้ประกอบการ และสตาร์ทอัพที่สนใจเข้าร่วมโครงการต่อไปในรุ่นที่ 6 เพื่อมามีส่วนในการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำในการเปลี่ยนโลกของอาหารแห่งอนาคต โดยสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 12 มีนาคม 2568

🔗 ลิงก์สมัครโปรแกรม Incubator และ Accelerator: https://forms.gle/Y4AktDni7cgKgRs8A
👉🏻 สามารถดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่: http://www.space-f.co

ประเทศไทยมีความพร้อมด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของผลผลิต รวมถึงเทคโนโลยีในการผลิตและแปรรูปที่ทันสมัย ดังนั้นผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพที่สนใจพัฒนาศักยภาพ เพิ่มความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหารให้มากขึ้น ห้ามพลาดโครงการนี้ !

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://guide.michelin.com/th/th/article/michelin-guide-ceremony/save-the-date-michelin-guide-ceremony-thailand-2025
https://www.foodnavigator.com/Article/2024/12/02/foods-future-2025-foodtech-trends-and-beyond/
https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/298789
https://www.nia.or.th/event/SPACEF-6