สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

ลด "ก๊าซมีเทน" ในนาข้าว...ทางเลือกสู่เกษตรยั่งยืน

18 พฤษภาคม 2568 145

ลด "ก๊าซมีเทน" ในนาข้าว...ทางเลือกสู่เกษตรยั่งยืน

ลด

ข้าวกับภาวะโลกร้อน: ทำไมการปลูกข้าวถึงเกี่ยวข้องกับก๊าซมีเทน?

ข้าวเป็นอาหารหลักของคนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นพืชที่คนจำนวนมากบริโภคทุกวัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม วิธีการปลูกข้าวแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะ “นาน้ำขัง” ซึ่งมีการปล่อยน้ำท่วมขังตลอดช่วงการเจริญเติบโตของต้นข้าว กลับกลายเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว

เมื่อดินในนามีสภาพขาดออกซิเจน จุลินทรีย์บางชนิดจะผลิต “ก๊าซมีเทน” (CH₄) ออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า การปลูกข้าวปล่อยก๊าซมีเทนคิดเป็นถึง 12% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก [1]

ด้วยเหตุนี้ การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าวจึงเป็นแนวทางสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากภาคเกษตร และเป็นอีกก้าวหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น

ภาคเกษตรของไทยเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยมีการปล่อยก๊าซคิดเป็น 16% ของปริมาณการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประเทศ ซึ่ง 51% มาจากการปลูกข้าว การทำนาแบบดั้งเดิมที่ใช้น้ำขังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดก๊าซมีเทนสูงถึง 80% ของการปล่อยก๊าซในภาคการปลูกข้าวทั้งหมด ซึ่งทำให้ไทยต้องเร่งปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

วิธีลดมีเทนในนา...เพื่อข้าวไทยรักษ์โลก

การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการปลูกข้าวสามารถทำได้หลายวิธี โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying - AWD) ซึ่งเป็นการจัดการน้ำในนาโดยไม่ปล่อยให้น้ำท่วมขังตลอดเวลา วิธีนี้ช่วยให้ดินมีออกซิเจนมากขึ้น ลดการเกิดก๊าซมีเทนได้ถึงประมาณ 30% อีกแนวทางหนึ่งคือ การใช้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง เช่น ข้าวพันธุ์ LFHE ในประเทศจีน ซึ่งถูกออกแบบให้เหมาะสมกับแนวคิดเกษตรคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ การจัดการฟางข้าวและตอซังหลังการเก็บเกี่ยวก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ การไม่เผาเศษพืชเหล่านี้แต่เลือกใช้วิธีไถกลบลงดินหรือนำไปใช้ประโยชน์อื่น นอกจากจะช่วยลดการปล่อยมีเทนแล้วยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินอีกด้วย สุดท้ายการใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสมตามระยะการเจริญเติบโตของข้าวก็มีบทบาทในการลดก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เพราะช่วยให้ต้นข้าวใช้ธาตุอาหารได้เต็มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียธาตุอาหารสู่ชั้นบรรยากาศ

 

แนวโน้มข้าวคาร์บอนต่ำ: โอกาสใหม่ในตลาดโลก

ปัจจุบันแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) กำลังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้ข้าวคาร์บอนต่ำได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก เพราะการปลูกข้าวแบบดั้งเดิมเป็นแหล่งสำคัญของก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกหลัก หลายประเทศได้เร่งพัฒนาและลงทุนในระบบการผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม:

  • เวียดนาม ลงทุน 375 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการข้าวคุณภาพสูงและคาร์บอนต่ำ ครอบคลุมพื้นที่ 1 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 2030 [4] พร้อมทั้งดำเนินโครงการร่วมกับ Livelihoods Carbon Fund และหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) และแนวทาง “One Must, Five Reductions (1M5R)” ซึ่งลดการใช้เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย สารเคมี น้ำ และการสูญเสียหลังเก็บเกี่ยว โดยมีเกษตรกร 8,000 รายในจังหวัดเข้าร่วม [5]
  • อินโดนีเซีย ริเริ่มโครงการ Low Carbon Rice ในเกาะชวา โดยได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ผ่านความร่วมมือกับองค์กร Preferred by Nature [6]
  • สหรัฐอเมริกา บริษัท AgriCapture รับรองข้าวคาร์บอนเป็นศูนย์กว่า 80 ล้านปอนด์ในปี 2022 โดยร่วมกับเกษตรกรในหลายรัฐ เพื่อส่งเสริมการปลูกข้าวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม [7]
  • ประเทศไทย ส่งเสริมการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งซึ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ถึง 30% ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 3,300 รายใน 22 จังหวัดเข้าร่วม ครอบคลุมพื้นที่กว่า 10 ล้านไร่ [8] นอกจากนี้ โครงการ Thai Rice NAMA ซึ่งเป็นความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) ยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการปลูกข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซ พร้อมพัฒนาระบบวัดผล (MRV) รองรับตลาดข้าวคาร์บอนต่ำในอนาคต [9]

 

AgTech Connext 2025: ยกระดับข้าวไทยด้วยเทคโนดลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพเกษตร

AgTech Connext 2025: ยกระดับข้าวไทยด้วยเทคโนดลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพเกษตร

 

AgTech Connext 2025 คือ โครงการจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน เพื่อยกระดับการผลิตข้าวไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพด้านเกษตร เป้าหมายคือช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

โครงการเริ่มพื้นที่ทดสอบใน 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ยโสธร อำนาจเจริญ เพชรบูรณ์ และพัทลุง โดยร่วมมือกับเกษตรกรกว่า 50 กลุ่ม ในการใช้เทคโนโลยีที่ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมดิน ไปจนถึงการจัดการผลผลิตแปรรูปให้เกิดมูลค่า และสร้างตลาดให้กับข้าวไทย โดยเทคโนดลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัป ดังนี้

  1.  ไบโอม: จุลินทรีย์ช่วยฟื้นฟูดิน ส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นข้าว
  2. ลิสเซินฟิลด์: วิเคราะห์ข้อมูลแปลงนาและคุณภาพดินด้วย AI เพื่อวางแผนเพาะปลูก
  3. อีซี่ไรซ์: ตรวจสอบพันธุ์และคุณภาพข้าวด้วยปัญญาประดิษฐ์
  4. อินเซ็กโต้: กับดักแมลงพลังงานแสงอาทิตย์ ลดการใช้สารเคมี
  5. ไทยทรานมิสชั่น: ระบบบาร์โค้ดบริหารคลังสินค้าข้าว
  6. วาริชธ์: แปรรูปข้าวเป็นของว่างโปรตีนสูง พร้อมขยายตลาดใน-ต่างประเทศ

ยกระดับการผลิตข้าวไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพด้านเกษตร

โครงการนี้ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม แต่ยังวางรากฐานสำคัญสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้จุลินทรีย์เป็นสารฟื้นฟูดิน ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี และบริหารจัดการแปลงนาอย่างแม่นยำ นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับข้าวไทยสู่ตลาดโลก ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศในระยะยาว

 

ขอบคุณแหล่งอ้างอิงข้อมูล

  1. https://www.adb.org/news/events/how-can-we-incentivize-reducing-methane-emission-rice-farming-asia 
  2. https://www.infoquest.co.th/2025/458808?utm_source=chatgpt.com 
  3. https://www.kasikornresearch.com (https://shorturl.at/tawPx) 
  4. https://vietnamnews.vn/ (https://shorturl.at/X3pYI) 
  5. https://www.rikolto.org/projects/low-water-and-low-carbon-rice-in-the-mekong-delta 
  6. https://www.preferredbynature.org/news/indonesias-low-carbon-rice-project-leads-way-sustainable-rice-production 
  7. https://agricapture.com/agricapture-carbon-neutral-rice/ 
  8. Thailand Boosts Low-Carbon Rice Production, Fostering Green Economy & Reducing GHG (https://www.facebook.com/watch/?v=1269897077563254)
  9. https://www.asean-agrifood.org/strengthening-thailands-low-emission-rice-market-learnings-from-the-thai-rice-nama-project/ 

 

บทความโดย
จุฑามาศ บุญชัย (กวาง)
นักส่งเสริมนวัตกรรม ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรม
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)