สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
การให้บริการของ NIA
ความเคลื่อนไหวของ NIA
ช่องทางในการติดต่อกับ NIA
ลด "ก๊าซมีเทน" ในนาข้าว...ทางเลือกสู่เกษตรยั่งยืน
ข้าวเป็นอาหารหลักของคนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นพืชที่คนจำนวนมากบริโภคทุกวัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม วิธีการปลูกข้าวแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะ “นาน้ำขัง” ซึ่งมีการปล่อยน้ำท่วมขังตลอดช่วงการเจริญเติบโตของต้นข้าว กลับกลายเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว
เมื่อดินในนามีสภาพขาดออกซิเจน จุลินทรีย์บางชนิดจะผลิต “ก๊าซมีเทน” (CH₄) ออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า การปลูกข้าวปล่อยก๊าซมีเทนคิดเป็นถึง 12% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก [1]
ด้วยเหตุนี้ การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าวจึงเป็นแนวทางสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากภาคเกษตร และเป็นอีกก้าวหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น
ภาคเกษตรของไทยเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยมีการปล่อยก๊าซคิดเป็น 16% ของปริมาณการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประเทศ ซึ่ง 51% มาจากการปลูกข้าว การทำนาแบบดั้งเดิมที่ใช้น้ำขังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดก๊าซมีเทนสูงถึง 80% ของการปล่อยก๊าซในภาคการปลูกข้าวทั้งหมด ซึ่งทำให้ไทยต้องเร่งปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการปลูกข้าวสามารถทำได้หลายวิธี โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying - AWD) ซึ่งเป็นการจัดการน้ำในนาโดยไม่ปล่อยให้น้ำท่วมขังตลอดเวลา วิธีนี้ช่วยให้ดินมีออกซิเจนมากขึ้น ลดการเกิดก๊าซมีเทนได้ถึงประมาณ 30% อีกแนวทางหนึ่งคือ การใช้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง เช่น ข้าวพันธุ์ LFHE ในประเทศจีน ซึ่งถูกออกแบบให้เหมาะสมกับแนวคิดเกษตรคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ การจัดการฟางข้าวและตอซังหลังการเก็บเกี่ยวก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ การไม่เผาเศษพืชเหล่านี้แต่เลือกใช้วิธีไถกลบลงดินหรือนำไปใช้ประโยชน์อื่น นอกจากจะช่วยลดการปล่อยมีเทนแล้วยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินอีกด้วย สุดท้ายการใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสมตามระยะการเจริญเติบโตของข้าวก็มีบทบาทในการลดก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เพราะช่วยให้ต้นข้าวใช้ธาตุอาหารได้เต็มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียธาตุอาหารสู่ชั้นบรรยากาศ
ปัจจุบันแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) กำลังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้ข้าวคาร์บอนต่ำได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก เพราะการปลูกข้าวแบบดั้งเดิมเป็นแหล่งสำคัญของก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกหลัก หลายประเทศได้เร่งพัฒนาและลงทุนในระบบการผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม:
AgTech Connext 2025 คือ โครงการจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน เพื่อยกระดับการผลิตข้าวไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพด้านเกษตร เป้าหมายคือช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โครงการเริ่มพื้นที่ทดสอบใน 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ยโสธร อำนาจเจริญ เพชรบูรณ์ และพัทลุง โดยร่วมมือกับเกษตรกรกว่า 50 กลุ่ม ในการใช้เทคโนโลยีที่ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมดิน ไปจนถึงการจัดการผลผลิตแปรรูปให้เกิดมูลค่า และสร้างตลาดให้กับข้าวไทย โดยเทคโนดลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัป ดังนี้
โครงการนี้ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม แต่ยังวางรากฐานสำคัญสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้จุลินทรีย์เป็นสารฟื้นฟูดิน ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี และบริหารจัดการแปลงนาอย่างแม่นยำ นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับข้าวไทยสู่ตลาดโลก ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศในระยะยาว
ขอบคุณแหล่งอ้างอิงข้อมูล
บทความโดย
จุฑามาศ บุญชัย (กวาง)
นักส่งเสริมนวัตกรรม ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรม
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)