สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

R&D หนึ่งในปัจจัยการวัดศักยภาพด้านนวัตกรรมของ GII สำรวจความสำเร็จของ SCG องค์กรต้นแบบด้านการวิจัยและพัฒนา

22 มกราคม 2568 107

R&D หนึ่งในปัจจัยการวัดศักยภาพด้านนวัตกรรมของ GII สำรวจความสำเร็จของ SCG องค์กรต้นแบบด้านการวิจัยและพัฒนา

#GIISeries การขายของแบบเดิมๆ โดยไม่มีการวิจัยและพัฒนาสินค้าเลย คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไรในการทำธุรกิจ 🛍️

🔬 การวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีของแต่ละประเทศ การวัดผลการดำเนินงานด้าน R&D มีความสำคัญเพื่อใช้ประเมินสถานะความก้าวหน้าของประเทศนั้นๆ และเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในระดับสากล เป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการวัดและเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การวิจัยและพัฒนา (R&D) ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่สำคัญสำหรับภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อภาคเอกชน เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้างนวัตกรรม และยกระดับประสิทธิภาพขององค์กร ธุรกิจที่ลงทุนใน R&D อย่างต่อเนื่องมักสามารถรักษาความยั่งยืนและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้ดีกว่าคู่แข่ง ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาด สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้มีคุณภาพและคุณค่ามากขึ้น ลดการใช้ทรัพยากร และลดต้นทุนในระยะยาว นวัตกรรมที่พัฒนาจาก R&D จะสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ที่ช่วยให้ธุรกิจมีความแตกต่างที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย เสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ 

ธุรกิจที่ลงทุนใน R&D แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ซึ่งช่วยสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนสร้างรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา ผลลัพธ์จากการทำ R&D เช่น สิทธิบัตรและลิขสิทธิ์ สามารถนำมาใช้สร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับธุรกิจได้ เช่น การให้สิทธิ์ใช้งาน (Licensing) หรือการขายทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่บริษัทอื่น ทำให้ธุรกิจเหล่านั้นมีศักยภาพในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ R&D ถูกหยิบยกมาเป็นหนึ่งในปัจจัยในการวัดศักยภาพด้านนวัตกรรมจากการจัดอันดับ “ดัชนีนวัตกรรม (Global Innovation Index) หรือ GII” นั่นเอง 

📊 ภายใต้ปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรม (Innovation Input Sub-Index) จะมีปัจจัยย่อยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย (Human Capital and Research) ที่เป็นตัวชี้วัดสำหรับการส่งเสริมให้แต่ละประเทศมุ่งเน้นส่งเสริมทุนมนุษย์ให้เข้าถึงความรู้และข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาและผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ โดยในปัจจัยนี้จะมีตัวชี้วัดในด้านการวิจัยและพัฒนาที่ส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มขึ้นของนักวิจัยเต็มเวลา (Full-Time Equivalent: FTE) ต่อประชากร 1 ล้านคน รวมไปถึงเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับการวิจัยและพัฒนาภายในประเทศ

ตัวอย่างการวิจัยและพัฒนาที่โดดเด่นในต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีการลงทุนใน R&D สูงที่สุดในโลก อุตสาหกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ เทคโนโลยีขั้นสูง (High-Tech) ยา และพลังงานสะอาด ตัวอย่างองค์กรสำคัญ เช่น Google, Microsoft และ Pfizer หรือประเทศเยอรมนีมีชื่อเสียงในด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น BMW, Mercedes-Benz และ Volkswagen ที่ลงทุนอย่างหนักใน R&D เพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติ

ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทอย่าง Toyota, Sony และ Panasonic ใช้ R&D ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลก ในส่วนของประเทศเกาหลีใต้เองก็มีบริษัทอย่าง Samsung และ LG ที่เป็นผู้นำในด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ลงทุนใน R&D อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่วนประเทศอิสราเอลเอง แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ก็มีชื่อเสียงในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้าน Cybersecurity, เทคโนโลยีการเกษตร และ Biotech โดยอิสราเอลมีจำนวนสตาร์ทอัพต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก เป็นต้น 

สำหรับประเทศไทยเอง หนึ่งหน่วยงานที่มีความโดดเด่นต่อการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ก็คือ ภาคเอกชน โดยพิสูจน์ได้จากตัวชี้วัดในด้านสัดส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนา (Gross Domestic Expenditure on Research and Development: GERD) ของการจัดอันดับ GII ที่เอกชนไทย สามารถครองอันดับ 1 ของโลกเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกันในตัวชี้วัดด้านค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศ สำหรับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งลงทุนโดยภาคธุรกิจ (GERD Financed by Business, %) 

👨‍🔬 ตัวอย่างองค์กรที่มีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง และเป็นต้นแบบให้องค์กรต่างๆ พัฒนาตาม ก็คือ #SCG  โดยมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม หรือ ASTEC (Advanced Sciences and Technology Center) สำหรับใช้เป็นศูนย์ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง และทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อบ่มเพาะ Innovation Culture ในองค์กรให้พร้อมสำหรับการสร้าง Talent ที่พร้อมกล้าออกจากกรอบ สร้างนวัตกรรมที่อาจเป็นโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจได้

🎯 การผลักดันนวัตกรรมด้วยการวิจัยและพัฒนาของ SCG จะมีการดำเนินการใน 3 ลักษณะ ได้แก่ “Buy-Borrow-Build” ซึ่ง ‘Buy’ ก็คือการที่องค์กรมีการลงทุนซื้อเทคโนโลยีมาทำการพัฒนาต่อ ‘Borrow’ คือการสร้างนวัตกรรมในองค์กรผ่านการหยิบยืม หรือนำเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอยู่จากภายนอกมาทดลองใช้และขยายผล ส่วนสุดท้ายคือ ‘Build’ ที่เป็นการลงทุนสร้างเองจากคนภายในที่มีความสามารถและประสบการณ์

🙋‍♂️ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าใน 3 ลักษณะทั้งหมด ‘Build’ จะเป็นส่วนที่ต้องใช้เวลาและการพัฒนาอย่างเป็นระบบมากที่สุด ทำให้ SCG ต้องมองหากิจกรรมในการส่งเสริม โดยโครงการนั้นก็คือ ZERO TO ONE By SCG ที่เปิดโอกาสให้พนักงานที่มีไอเดีย ได้ทดลองสร้างธุรกิจอย่างเปิดกว้าง โดยในระหว่างทางก็จะมีเมนเทอร์ในการให้คำปรึกษา และหลังจากนั้นหากผลงานสร้างมูลค่าได้ก็จะสนับสนุนให้เกิดการ Spin Off ให้พนักงานได้จัดตั้งธุรกิจเป็นของตัวเอง

🤝 แต่ SCG ก็ไม่ได้มีแค่การเตรียมความพร้อมสำหรับคนภายในเท่านั้น แต่ยังมีการสรรหาพนักงานรุ่นใหม่ ผ่านโครงการ SCG Young Talent Program ที่เป็นโปรแกรมบ่มเพาะนวัตกรจากมหาวิทยาลัย เฟ้นหานักศึกษามีศักยภาพ ให้มาทดลองฝึกงานแบบมืออาชีพ สัมผัสประสบการณ์จริงในการทำธุรกิจ เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถตามโจทย์ความท้าทายในมิติต่างๆ ซึ่งหลายคนที่ได้มาเข้าร่วมโครงการนี้ ภายหลังจากจบก็จะได้รับเลือกมาเป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทอีกด้วย

📈 นอกเหนือจาก 2 โครงการนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่ SCG ทุ่มเทให้กับการทำ R&D จึงไม่แปลกเลยที่ธุรกิจจะสามารถประสบความสำเร็จ มีนวัตกรรมที่หลากหลายออกมาสู่ตลาด ทำให้ในปี 2024 SCG ได้พิสูจน์ตัวเองจนประสบความสำเร็จติดอันดับ 3 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในไทย ต่อยอดจากการผลิตปูน ออกมาเป็นธุรกิจนวัตกรรมอื่นๆ ที่ครอบคลุมถึงความต้องการของลูกค้าปลายทาง

🔎 การวิจัยและพัฒนา หรือ R&D จึงเปรียบเสมือน ‘ท่าไม้ตายสำหรับภาคธุรกิจ’ ในการเอาชนะคู่แข่งในยุคที่ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปตลอดเวลา เป็นการพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าด้วยนวัตกรรม ซึ่งในภาพใหญ่ก็จะนำมาสู่การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วได้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ภาคเอกชนสามารถปรับตัว สร้างนวัตกรรม และเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง แม้ว่า R&D จะมีต้นทุนและความเสี่ยง แต่ประโยชน์ที่ได้รับทั้งในด้านการสร้างความแตกต่าง การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทำให้การลงทุนใน R&D คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยให้ธุรกิจมีความยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://bit.ly/3PsWNIt 
https://www.wipo.int/gii-ranking/en/thailand 
https://www.scgchemicals.com/th/articles/stories/1653648349?utm_source=chatgpt.com
https://www.brandcase.co/46860
https://www.thepeople.co/interview/business/53590
https://scgnewschannel.com/th/scg-news/scg-promotes-being-an-organization-of-opportunity-creating-people-innovation-and-culture/
https://brandirectory.com/rankings/thailand/table