สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

NIA แถลงผลสำเร็จโครงการ “INNOProductivity for SMEs – เร่งสปีด SMEs ไทยด้วยนวัตกรรม พร้อมโชว์ 3 องค์กรดาวเด่นด้านการจัดการนวัตกรรม

News 25 ธันวาคม 2568 17

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดงานแถลงข่าวและมอบเกียรติบัตรโครงการ “INNOProductivity for SMEs – เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม” โดยมี ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นผู้มอบเกียรติบัตรให้แก่ 3 องค์กรต้นแบบที่มีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาองค์กรด้วยนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ พร้อมด้วยนางสาวสุพิชญา หลิมตระกูล รองผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์และบริหารองค์กร กล่าวรายงานความเป็นมา นอกจากนี้ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม” โดย นายสุรเชษฎ์ พลวณิช ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ดร.อัมพร แสงมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด นายกณวรรธน์ กลับกลายดี รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โค๊ดฟิน จำกัด นายภัทรพงษ์ พลเสน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด นายอัครพล นุกูลวุฒิโอภาส กรรมการบริษัท เดฟดี (ไทยแลนด์) จำกัด และ ดร.ชัยธร ลิมาภรณ์วณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์นวัตกรรม เป็นผู้ดำเนินรายการ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ณ อาคารอุทยานนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
 
โครงการ“INNOProductivity for SMEs – เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม” มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีไทยสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถปรับตัว อยู่รอด และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง โดยโครงการมุ่งพัฒนานวัตกรรมควบคู่ผลิตภาพผ่านการประเมินและให้คำปรึกษาเชิงลึก ช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นจุดแข็ง–จุดอ่อน และเตรียมความพร้อมสู่แหล่งเงินทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานสะท้อนว่าเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่อยู่ในระดับ “Managed Level” และมีบางส่วนที่พร้อมก้าวสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรม
 
เอสเอ็มอีไทยถือเป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกลับต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ดังนั้น การเสริมสร้างขีดความสามารถให้เอสเอ็มอีไทยปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ NIA ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพราะการที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางนั้น จำเป็นต้องเร่งยกระดับเอสเอ็มอีให้สามารถเติบโตจากวิสาหกิจรายย่อยและขนาดย่อม ไปสู่การเป็น ‘Smart SME’ และต่อยอดสู่การเป็นวิสาหกิจขนาดกลางที่มีความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน และสามารถใช้ ‘นวัตกรรม’ เป็นเครื่องมือในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น หัวใจสำคัญคือการพัฒนา ‘นวัตกรรม’ ควบคู่กับการพัฒนา ‘ผลิตภาพ’ ในการดำเนินธุรกิจ ที่ไม่ใช่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการวางระบบการจัดการนวัตกรรมในองค์กรอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบท ขนาด และศักยภาพของแต่ละธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ทั้งในมิติการเพิ่มรายได้ การลดต้นทุน และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว จากแนวคิดดังกล่าว NIA จึงได้ริเริ่ม ‘โครงการ INNOProductivity for SMEs – เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม’ โดยผนึกความร่วมมือกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเพิ่มผลิตภาพ และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินและพัฒนาองค์กร เพื่อออกแบบกระบวนการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยอย่างครบวงจร ตั้งแต่การประเมินศักยภาพ การให้คำปรึกษาเชิงลึก ไปจนถึงการวางแผนพัฒนาองค์กรเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ
 
หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการ คือ กระบวนการ Consultative Assessment ที่ทำหน้าที่เสมือน ‘กระจกสะท้อนศักยภาพองค์กร’ ช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการประเมินเพื่อให้คะแนน แต่เป็นการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางการยกระดับองค์กรด้วยนวัตกรรมและผลิตภาพที่เหมาะสมกับบริบทธุรกิจจริง ซึ่งจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา NIA มองเห็น 2 องค์ประกอบหลักที่จะช่วยยกระดับเอสเอ็มอีไทยสู่ธุรกิจยุคใหม่ ได้แก่ 1) การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ (Management Transformation) ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการตัดสินใจบนพื้นฐานของสัญชาตญาณและประสบการณ์ส่วนบุคคลไปสู่การใช้ข้อมูลสำหรับเป็นฐานในการตัดสินใจ โดยเริ่มจากการวางระบบจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนด้านนวัตกรรม ควบคู่กับการกำหนดกลยุทธ์นวัตกรรมที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ให้นวัตกรรมเป็นเพียงโครงการเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจหลักที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง และ 2) กรอบความคิดที่พร้อมปรับตัวอยู่เสมอ (Productivity Mindset) ที่เปรียบเสมือนฐานรากของการพัฒนาองค์กร โดยผู้ประกอบการควรเริ่มจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานพื้นฐานก่อนการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Automation หรือ AI ผ่านเครื่องมืออย่าง 5ส, Kaizen และ Lean เพื่อลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน พร้อมกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการนวัตกรรมอย่างชัดเจน ทั้งในมิติทางการเงิน เช่น รายได้และต้นทุน และมิติที่ไม่ใช่การเงิน เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า และความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งนอกจากจะประเมินและวินิจฉัยจุดแข็ง–จุดอ่อนขององค์กรด้วยเครื่องมือมาตรฐานพร้อมรับคำแนะนำเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังช่วยเตรียมความพร้อมสู่แหล่งเงินทุน สร้างมาตรฐานการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือ เพื่อโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในอนาคต โดยมีผู้ประกอบการเข้ารับการถ่ายทอดการใช้ครื่องมือประเมินและพัฒนาระบบนวัตกรรมและผลิตภาพภายในองค์กรมากว่า 200 องค์กร ทั้งจากการฝึกอบรมทั่วประเทศและผ่านหลักสูตรออนไลน์ (NIA MOOC) โดยมีผู้ประกอบการจำนวน 41 องค์กร เข้ารับการประเมินและให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ แบบ 1 – on – 1
 
ทั้งนี้ ผลการประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรมและผลิตภาพกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของสถานะความพร้อมด้านนวัตกรรมของเอสเอ็มอีไทยอยู่ในระดับที่มีการจัดการ (Managed Level) จากผลคะแนนเฉลี่ยที่ 2.42 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5.00) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์กรมีการดำเนินกิจกรรมด้านนวัตกรรมและมีกระบวนการทำงานพื้นฐานแล้ว แต่ยังขาดการบูรณาการอย่างเป็นระบบ และยังไม่ได้นำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจอย่างเต็มรูปแบบ กิจกรรมนวัตกรรมมักเกิดจากวิสัยทัศน์เจ้าของกิจการเป็นหลัก ยังไม่ถูกถ่ายทอดเป็นระบบงานขององค์กรที่ชัดเจน แต่ก็มีผู้ประกอบการบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และมีความพร้อมในการพัฒนาขีดความสามารถสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมที่เข้มแข็งในอนาคต โดยสามารถทำคะแนนได้ในระดับ Performed Level (เกิน 3.00 คะแนน) ได้แก่ บริษัท เดฟดี ไทยแลนด์ จำกัด บริษัท โค๊ดฟิน จำกัด และบริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด โดย NIA ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่ 3 องค์กรที่ผลการประเมินสะท้อนถึงศักยภาพ ความพร้อม และความมุ่งมั่นในการเติบโตด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน