สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

ทำไม “สหรัฐอเมริกา” ถึงเป็นประเทศที่มีข้อมูลของคนทั้งโลกอยู่ในมือ ?

15 ธันวาคม 2565 8,853

ทำไม “สหรัฐอเมริกา” ถึงเป็นประเทศที่มีข้อมูลของคนทั้งโลกอยู่ในมือ ?

ประเทศมหาอำนาจอาจไม่ได้จำกัดความอยู่แค่การมีกองทัพทหารหรืออาวุธนิวเคลียร์เสมอไป แต่อาจหมายถึงประเทศที่มีข้อมูลของคนทั้งโลกอยู่ในมือมากที่สุดต่างหาก ถึงจะเป็นผู้กุมชะตาของคนทั้งโลกโดยแท้จริง

สังเกตไหมว่าในแต่ละครั้งที่เราหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แอปฯ สุดฮิตที่เรามักเข้าใช้บ่อยๆ ก็คงหนีไม่พ้น Facebook, Twitter, Instagram, Netflix ฯลฯ หรือจะค้นคว้าข้อมูลเพื่อทำงานก็ต้องใช้บริการจาก Google, Microsoft Edge ไม่ก็ข้อมูลจาก Wikipedia จนแทบจะเป็นเพื่อนพึ่งพิงยามยากมากกว่าห้องสมุดซะอีก หากไม่นับ TikTok ที่มาจากประเทศจีนแล้ว แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ที่เราใช้บริการเกือบทั้งหมดล้วนมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงได้เป็นประเทศที่มีข้อมูลของคนทั้งโลกอยู่ในมือ

แต่ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่า กว่าจะมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมไอทีของโลก สหรัฐอเมริกานั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง และมีเส้นทางการพัฒนาประเทศอย่างไรถึงสามารถขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ในการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index: GII) ได้

ดินแดนแห่งเสรีภาพที่ให้ความสำคัญกับ “การเก็บข้อมูล”

ใครที่เคยฟังรายการ Podcast เรื่องลึกลับ ฆาตกรรม อยู่บ่อยๆ เช่น Untitled Case, The Common Thread หรือช่องของหมอ Tang Makkaporn ก็จะพบว่ามีเคสคดีจากประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่เยอะมาก สาเหตุหนึ่งนอกจากการมีจำนวนพลเมืองที่เยอะกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 331.9 ล้านคน สหรัฐอเมริกานับเป็นอีกประเทศที่มีการเก็บบันทึกข้อมูลไว้อย่างละเอียด เป็นระบบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขนาดแฟ้มคดีฆาตกรรมก็ยังมีการบันทึกเรื่องราวไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ย้อนกลับไปตั้งแต่การก่อร่างสร้างประเทศในช่วงศตวรรษที่ 17 ผู้คนจำนวนมากได้อพยพมาที่สหรัฐอเมริกา โดยสิ่งที่คนในยุคแรกให้ความสำคัญเลยก็คือเรื่องการศึกษา แต่ด้วยพื้นที่ในสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่และกว้าง รวมถึงมีอุดมการณ์ทางเมืองที่แตกต่างจากอังกฤษ ทำให้สหรัฐอเมริกามีรูปแบบการปกครองรัฐที่เฉพาะตัว และมีการสร้างมหาวิทยาลัยให้กระจายทั่วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็น Harvard, Yale, Columbia U, Stanford ฯลฯ ซึ่งแตกต่างกับในอังกฤษหรือประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่มักรวมศูนย์อยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น เช่น Cambridge หรือ University of London

เมื่อคนมีความรู้มากขึ้น ก็ทำให้เกิดการพัฒนาระบบการบันทึกข้อมูลแบบใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น ระบบการสืบค้นของห้องสมุด (Library System) ก็เกิดขึ้นมาจากในสหรัฐอเมริกาโดย Benjamin Franklin ในปี ค.ศ. 1731 และที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศเลยก็คือในปลายศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศแรกๆ ที่เริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มผลิตผลของประเทศ (Productivity Trend Index) เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาประเทศ จนถึงขนาดที่ว่ามีหน่วยงานของรัฐที่ทำงานด้านนี้โดยตรงอย่าง “United State Census Bureau” ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลและสถิติต่างๆ ในประเทศ โดยมีการทำงานร่วมกับภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคสังคม ฯลฯ จึงทำให้ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็จะเก็บบันทึกข้อมูลไว้ทั้งหมด

“จุดกำเนิดอินเทอร์เน็ต” นวัตกรรมเปลี่ยนโลก ที่ทำให้คนจากทุกที่ทั่วโลกเชื่อมถึงกัน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปตลอดกาลคือ “อินเทอร์เน็ต” เพราะนี่คือนวัตกรรมที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงของประเทศรวมถึงทั้งโลกอย่างมาก และในปัจจุบันถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่คนทั้งโลกขาดมันไปไม่ได้ ไม่ต่างกับน้ำ อาหาร และยา แต่ทุกคนเชื่อไหมว่า อินเทอร์เน็ตนั้นมีอายุแค่เพียง 39 ปีเท่านั้น ถ้านับจากวันที่คิดค้น ก่อนหน้านี้โลกไม่เคยเชื่อมถึงกันง่ายแบบนี้มาก่อน จะติดต่อสื่อสารกันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ยิ่งการทำธุรกิจก็มีข้อจำกัดมากมาย ไม่เหมือนยุคนี้ที่อยากสั่งอะไรก็กดสั่งได้แค่ปลายนิ้ว

แต่สหรัฐอเมริกาก็คิดค้นขึ้นมาได้ โดยแรกเริ่มเดิมทีอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นมาเพียงเพราะเหตุผลทางการทหาร เพื่อทำให้กองทัพสามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้นผ่านสิ่งที่ชื่อว่า “ARPANET” ซึ่งถูกคิดโดย Bob Kahn และ Vint Cerf ในราวๆ ปี ค.ศ. 1983 ผ่านการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) แต่ผู้คนก็มองเห็นว่าสิ่งนี้ควรเป็นสิ่งที่ใช้ในเชิงพาณิชย์หรือการค้าด้วย ทำให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ทุกคนและเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายสิบปีหลังมานี้

และหลังจากมีอินเทอร์เน็ตก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า “www หรือ World Wide Web” ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1989 จาก Computer scientist ชาวอังกฤษที่มีชื่อว่า “Tim Berners-Lee” การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้หลายๆ ที่ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะย่านซิลลิคอนวัลเลย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตเกิดขึ้นมามากมาย อย่าง Google ก็มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Mountain View หรือ Meta ก็ตั้งอยู่บน Menlo Park รวมถึงสำนักงานใหญ่ของ Apple ก็ตั้งอยู่บนพื้นที่นี้เช่นกัน Tech Company เหล่านี้ก็ทำให้การบันทึกข้อมูล Transform มาอยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น

“ซิลลิคอนวัลเลย์” ไม่ได้เป็นแค่สถานที่แต่คือวิธีคิดของผู้คน

ปัจจุบันเมื่อพูดถึง “ซิลลิคอนวัลเลย์” เราอาจจะไม่ได้นึกถึง Tech Company ขนาดใหญ่ เช่น Google, Intel, Adobe, Meta, Apple ฯลฯ เพียงอย่างเดียว เพราะพื้นที่นี้นับเป็นอีกจุดหมายปลายทางที่คนทำสตาร์ทอัพจากทั่วโลกใฝ่ฝัน แล้วเมื่อเกิดแพลตฟอร์มหรือบริการด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก ก็ทำให้ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนตามมา

โดยหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญก็คือ Accelerator ต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่บ่มเพาะและเร่งสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหน้าใหม่อย่าง Y Combinator และ 500 Startups ที่ได้ปั้นสตาร์ทอัพชื่อดังในปัจจุบันมาแล้วหลายราย เช่น Canva, Stripe, OpenSea, Reddit, Zapier ฯลฯ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนเกือบทั้งหมด สิ่งที่ภาครัฐทำเป็นเพียงการเปิดนโยบายต่างๆ เช่น การให้คนจากทุกที่ทั่วโลกเข้ามาทำงานในพื้นที่นี้ได้ง่ายขึ้น หรือการหาพันธมิตรในหลายประเทศให้มาลงทุนกับสหรัฐอเมริกามากขึ้น จนทำให้กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบที่หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยอยากดำเนินรอยตาม

จึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงไปนัก ถ้าพูดว่าสหรัฐอเมริกาคือประเทศมหาอำนาจที่มีข้อมูลของคนทั้งโลกอยู่ในมือ เพราะทั้งสตาร์ทอัพและ Tech Company ขนาดใหญ่ทุกแห่งก็ล้วนขับเคลื่อนด้วย Data จากคนทั้งโลก ส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจเติบโตขึ้นเป็นทวีคูณจนยากที่ประเทศอื่นๆ จะขึ้นมาแทนที่ รวมถึงการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index: GII) สหรัฐอเมริกาเองก็มีดีกรีเป็นถึงอันดับ 2 เป็นรองแค่สวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น แต่ไม่แน่ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าสหรัฐอเมริกาอาจไต่อันดับแซงหน้าคว้าแชมป์ดัชนีนวัตกรรมโลก เหมือนกับที่ได้เคยช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งจากหลายๆ วงการก็เป็นได้

อ้างอิงภาพจาก :
som.com , northernvirginiamag.com , vox.com

อ้างอิงข้อมูลจาก :
https://youtu.be/3h3S8f8LYZU
https://youtu.be/yqzJFNASnd0
https://www.ala.org/aboutala/before-1876
https://www.scienceandmediamuseum.org.uk/objects-and-stories/short-history-internet
https://www.history.com/news/who-invented-the-internet
https://techcrunch.com/2014/07/04/the-government-once-built-silicon-valley/
https://adaybulletin.com/know-dig-it-al-ep-01-united-states-data/60385
https://www.ycombinator.com/topcompanies
https://500.co/companies